สำหรับความเชื่อตามตำนาน “บั้งไฟพญานาค” เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่อยู่เหนือธรรมชาติ ชาวเมืองริมแม่น้ำโขงทั้งสองฝั่งเห็นปรากฎการณ์นี้มานานย้อนหลังไปได้ไกลหลายร้อยปี คนเฒ่าคนแก่เล่าว่าในช่วงคืนเดือนเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11ของทุกปี เรือที่ออกหาปลาในลำแม่น้ำโขง จะเห็นดวงไฟเกิดขึ้นมากมายรอบๆลำเรือ จนต้องพายกลับเข้าฝั่งเพราะความกลัว คนโบราณมีความเชื่อว่าเป็นการกระทำของพวกเงือก
บ้างก็ว่าลูกไฟนั้นขึ้นจากน้ำ บ้างก็ว่ามาจากบนบกของฝั่งลาวที่ห่างจากไทยประมาณ 1 กิโลเมตร ลักษณะบั้งไฟพญานาคเป็นดวงไฟขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือจนถึงขนาดเท่าไข่ห่านหรือผลส้ม มีสีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น หรือสีแดงทับทิม ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลว ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น จะเริ่มปรากฏจากเหนือผิวน้ำ ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร พุ่งสูงขึ้นไปประมาณระดับ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที แล้วจะดับหายวับไปในอากาศ ทั้งที่ดวงไฟยังโตอยู่ มิได้หรี่เล็กลงแล้วค่อยๆ ดับ และไม่มีลักษณะโค้งตกลงมาเหมือนดอกไม้ไฟ
ตามความเชื่อว่ากันว่า ใต้แม่น้ำโขงลงไปเป็นเมืองบาดาล หรือเมืองพญานาค ที่มีอิทธิฤทธิ์สามารถจะแปลงกายเป็นงูใหญ่ หรือบางครั้งแปลงเป็นชายหนุ่มรูปงาม หรือสาวสวยแล้วแต่เหตุการณ์ พญานาคตนนี้มีนางเงือกเป็นบริวาร
เนื่องจากในวันออกพรรษานี้ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหล่าเทวดาจึงเนรมิตบันไดเงินบันไดทองถวายเพื่อให้พระพุทธองค์ใช้เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ พุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็จะมาชุมนุมตามวัดเพื่อตักบาตรร่วมกัน เรียกว่าประเพณีตักบาตรเทโว เพราะเชื่อกันว่า พระพุทธเจ้าทรงพระกรุณาธิคุณ มนุษย์ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นอยู่บนสวรรค์หรือในนรก ในระหว่างพระพุทธเจ้าเดินทางโปรดสัตว์น้อยใหญ่ จะทรงผายมือทั้งสองข้าง ปางนี้จึงเรียกว่า ปางเปิดโลก ทั้งสวรรค์ นรก เมืองมนุษย์ เมืองบาดาล จะเห็นกันในวันออกพรรษานี้
เหล่าพญานาคทั้งหลายในเมืองบาดาล ต่างชื่นชมยินดีในความมีน้ำใจของพระพุทธองค์ และเป็นการต้อนรับที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาโปรดสัตว์ จึงสำแดงฤทธานุภาพพ่นลูกไฟบูชาพุทธคุณ หรือพุทธบูชา เราเรียกการกระทำของเหล่าพญานาคแห่งเมืองบาดาลนี้ว่า บั้งไฟพญานาค ดังนั้นในแต่ละปีจะมีประชาชนทั้งฝั่งซ้ายฝั่งขวาของแม่น้ำโขง และจากทั่วทุกสารทิศ เดินทางมาชมปรากฎการณ์มหัศจรรย์ที่ในหนึ่งปีจะมีให้ชมแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถือว่าเป็นปรากฎการณ์ที่มหัศจรรย์เหนือคำบรรยายใดๆทั้งสิ้น