ก่อนหน้านี้กลุ่มทุน “คิง เพาเวอร์” ของนายวิชัย ศรีวัฒนประภา ได้ซื้อสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก อังกฤษเมื่อฤดูกาล 2015?2016 นั่นเท่ากับว่า กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จะได้เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลในต่างประเทศถึง 2 สโมสร ไม่ธรรมดาหลายคนสงสัยว่าเจ้าสัววิชัย นำเงินมาจากไหน ในการลงทุนอย่างมากมาย
ข้อมูลจากกรมพัฒนาการค้าตอบโจทย์ใหญ่นี้ได้ชัดเจน จากการตรวจสอบสัญญาสัมปทานร้านค้าปลอดภาษี ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ( สปท.) ถึงรายได้ของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ที่แจ้งกับกระทรวงพาณิชย์
พบว่ากลุ่มคิง เพาเวอร์ ที่ได้สัมปทานดิวตี้ฟรี และทางบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท.ออกมายืนกรานว่าเป็นสัญญาที่ไม่ถึง 1,000 ล้านบาท จึงมิเข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ มีรายได้อยู่ในระดับหมื่นล้านบาทหลายปีต่อเนื่องกันมา กล่าวคือ
ปี 2555 มีรายได้ 22,277 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีกำไรให้กับผู้ถือหุ้น 2,510 ล้านบาท
ปี 2556 คิงเพาเวอร์มีรายได้ 27,778 ล้านบาท ฟันกำไรไปสิริรวมทั้งสิ้น 3,496 ล้านบาท
ปี 2557 รายได้ 27,560 ล้านบาท มีกำไร 2,698 ล้านบาท
ปี 2558 รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 33,034 ล้านบาท มีกำไร 2,984 ล้านบาท
รวม 4 ปีที่เปิดขายดิวตี้ฟรีมา กลุ่มคิงเพาเวอร์มีรายได้รวมกว่า 110,000 ล้านบาท อะแฮ่ม?.มีกำไรไปเหนาะๆ จากการขายของปลอดภาษีในสถานที่ของราชการรวม 11,688 ล้านบาท
ล่าสุด อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ทายาทเจ้าสัววิชัย ที่ปัจจุบันเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประกาศยุทธศาสตร์ “คิง เพาเวอร์” ว่า ใน 5 ปีนับจากนี้ไป (ปี 2560-2564) จะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มคิงเพาเวอร์ให้มียอดขาย 130,000 ? 140,000 ล้านบาท
ตัวเลขยอดขายดังกล่าวจะทำให้ “คิง เพาเวอร์” ติดท็อป 5 ในธุรกิจปลอดอากรระดับโลก จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ 7 ตามแผนงานที่อัยยวัฒน์ประกาศนั้น จะขยายสาขาฟอร์แมตใหญ่ออกไปในจังหวัดใหญ่ของประเทศ ใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000-2,000 ล้านบาทต่อสาขา
เริ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ จากปัจจุบันที่มี 4 สาขา คือ รางน้ำ, พัทยา ศรีวารี และภูเก็ต นอกจากนี้จะขยายออกไปใน 6 สนามบิน ได้แก่ ดอนเมือง, สุวรรณภูมิ, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต และอู่ตะเภา
ปรับโฉมสาขารางน้ำครั้งใหญ่เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 เมษายนเป็นต้นมา และจะเปิดโฉมใหม่ภายในไตรมาส 4/2560 ปรับปรุงพื้นที่ภายในโรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ให้เป็น Pop-up Store เพื่อให้ลูกค้ายังสามารถช้อปปิ้งได้ต่อเนื่อง ขยายการลงทุนดิวตี้ฟรีในต่างประเทศ โดยประเทศที่มีความเป็นไปได้ที่จะสยายปีกออกไปเป็นการนำร่องคือ เมียนมา และ ฟิลิปปินส์
พัฒนาแพลตฟอร์ม “การขายออนไลน์” ออกไปให้ตลาดกว่างขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยขณะนี้กลุ่มคิง เพาเวอร์ มียอดขายบนออนไลน์ไม่ถึง 1% ของยอดขายรวม หรือไม่เกิน 100 ล้านบาท
จึงตั้งเป้าหมายว่าภายใน 5 ปีนับจากนี้ไป ยอดขายจากออนไลน์จะขึ้นมาอยู่ที่ 10% หรือราว 14,000 ล้านบาท ของยอดขายรวม 140,000 ล้านบาท
ปฏิบัติการเดินหน้าสร้างอาณาจักรดิวตี้ฟรีของทายาทหนุ่มของเสี่ยวิชัย เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มรสุมกำลังรุมเร้า “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี” ของ วิชัย ศรีวัฒนประภา ที่นิตยสารฟอร์บส์จัดอันดับให้เป็นบุคคลผู้ร่ำรวยเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย ด้วยมูลค่าการถือครองทรัพย์สิน 1 แสนล้านบาท