ในยุคที่โรคภัยไข้เจ็บสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยไม่เลือกวัย การวางแผนป้องกันความเสี่ยงทางการเงินจากการเจ็บป่วยจึงเป็นสิ่งสำคัญ การซื้อประกันโรคร้ายแรงจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่หลายคนให้ความสนใจ แต่คำถามที่พบบ่อยคือ ควรซื้อประกันโรคร้ายแรงตั้งแต่อายุเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมที่สุด
โดยหลักการแล้ว การซื้อประกันโรคร้ายแรงควรเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะในช่วงวัย 25-35 ปี เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ ประการแรก เบี้ยประกันจะมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อในวัยที่มากขึ้น เพราะบริษัทประกันคำนวณความเสี่ยงตามอายุและสุขภาพ ยิ่งอายุน้อย ความเสี่ยงในการเกิดโรคก็ยิ่งต่ำ ทำให้เบี้ยประกันมีราคาที่ถูกลง
ประการที่สอง การซื้อประกันโรคร้ายแรงในขณะที่สุขภาพยังแข็งแรงจะเพิ่มโอกาสในการผ่านการพิจารณารับประกันได้ง่ายกว่า หากรอจนมีอาการเจ็บป่วยหรือตรวจพบความผิดปกติ บริษัทประกันอาจปฏิเสธการรับประกัน เพิ่มเบี้ยประกัน หรือยกเว้นความคุ้มครองในโรคที่เป็นอยู่
อย่างไรก็ตาม แม้จะแนะนำให้ซื้อประกันโรคร้ายแรงตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีอายุมากขึ้นจะไม่สามารถซื้อได้ ปัจจุบันมีแผนประกันโรคร้ายแรงสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ แม้เบี้ยประกันจะสูงขึ้นตามอายุและความเสี่ยง แต่ก็ยังคุ้มค่าเมื่อเทียบกับค่ารักษาพยาบาลโรคร้ายแรงที่มีราคาสูงมาก
การซื้อประกันโรคร้ายแรงควรพิจารณาควบคู่ไปกับการวางแผนการเงินโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนวัยทำงานที่มีภาระค่าใช้จ่ายและความรับผิดชอบทางการเงินมากขึ้น หากเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา นอกจากจะต้องแบกรับค่ารักษาพยาบาลแล้ว ยังอาจสูญเสียรายได้จากการหยุดงาน ทำให้เกิดผลกระทบต่อการเงินและคุณภาพชีวิตโดยรวม
นอกจากอายุแล้ว ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อซื้อประกันโรคร้ายแรงยังรวมถึงประวัติสุขภาพส่วนตัวและครอบครัว หากมีประวัติโรคร้ายแรงในครอบครัว เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน ยิ่งควรพิจารณาซื้อประกันเร็วขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเหล่านี้มากกว่าคนทั่วไป
โดยสรุป การซื้อประกันโรคร้ายแรงไม่มีอายุที่เหมาะสมที่สุดที่ตายตัว แต่โดยทั่วไปแล้วยิ่งซื้อเร็วยิ่งดี เพราะได้เบี้ยประกันที่ถูกกว่าและโอกาสผ่านการพิจารณารับประกันที่ง่ายกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอายุเท่าไร การมีความคุ้มครองย่อมดีกว่าไม่มีเลย สิ่งสำคัญคือการเลือกแผนประกันที่ตอบโจทย์ความต้องการและความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันในระยะยาว เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่องเมื่อต้องเผชิญกับโรคร้ายแรงในอนาคต