ละครบุพเพสันนิวาส ตอนนี้ทำให้วันพุธและวันพฤหัสถนนโล่งเลยทีเดียวเพราะทำคนดูติดกันงอมแงมทำให้เหล่านักแสดงในเรื่องที่มีตัวตนจริงตามประวัติศาสตร์ ถูกขุดคุ้ยประวัติความเป็นมาทำให้คนไทยได้รู้ถึงประวัติของชาติไทยในสมัยอยุธยามากยิ่งขึ้น และอีกตัวละครหนึ่งในเรื่องที่สาวๆปลื้มกันมากๆ นั้นคือ หลวงสรศักดิ์ ที่นอกจากจะหล่อถูกใจสาวๆ รูปร่างยังทำเลือดกำเดาสาวๆแทบไหล ใจบ่ดีเลยเห็นแบบนี้ และล่าสุดกับฉากสำคัญของ พ่อเดื่อ หรือ หลวงสรศักดิ์ กับ พระเพทราชา ตอนที่ 12 ที่ อีกมุมของความรู้สึกเจ็บปวดร้าวลึกของ พ่อเดื่อ ที่สงสัยในชาติกำเนิดของตัวเองว่าเป็นลูกของใครกันแน่ พร้อมออกปากถาม พระเพทราชา ถึงแม่สนมลับของตัวเอง พร้อมมีน้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลอาบแก้ม จนหลายคนสงสัย พ่อเดื่อ หรือ พระเจ้าเสือเป็นโอรสในพระนารายณ์ หรือไม่
ตามข้อมูลประวัติศาสตร์ มีคนนำมาเรียบเรียง เผยถึงชาติกำเนิดของพระเจ้าเสือว่า เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระนารายณ์มหาราชกับพระสนมพระองค์หนึ่ง ปรากฏในพระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระพนรัตน์ (แก้ว) ว่า นางเป็นพระราชธิดาพระเจ้าเชียงใหม่ โดยคำให้การขุนหลวงหาวัด ได้ออกพระนามว่า พระราชชายาเทวี หรือ เจ้าจอมสมบุญ ส่วนในคำให้การชาวกรุงเก่าเรียกว่านางกุสาวดี แต่ในเวลาต่อมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้พระราชทานพระสนมดังกล่าวให้แก่พระเพทราชา เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่ง (เจ้ากรมช้าง) โดยในคำให้การของขุนหลวงหาวัดและคำให้การชาวกรุงเก่า มีเนื้อหาสอดคล้องกัน กล่าวคือนางเป็นสนมลับของพระนารายณ์แต่แตกต่างกันเพียงชื่อของนาง และเหตุผลในการพระราชทานพระโอรสแก่พระเพทราชา
แต่พระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระพนรัตน์ (แก้ว) กลับให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระชาติกำเนิดแตกต่างไปจากคำให้การของขุนหลวงหาวัดและคำให้การชาวกรุงเก่า โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงทำศึกสงครามกับเมืองเชียงใหม่แล้วได้ราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นสนม แต่นางสนมเกิดตั้งครรภ์ พระองค์ได้ละอายพระทัยด้วยเธอเป็นนางลาว พระองค์จึงได้พระราชทานแก่พระเพทราชา
“เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดี พระองค์ที่ ๖ (สมเด็จพระนารายณ์) ทรงทราบว่า พระสนมนางหนึ่ง (พระราชพงศาวดารฯ ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) ว่า “พระราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่”
คำให้การขุนหลวงหาวัดว่า “พระราชชายาเทวี” (เจ้าจอมสมบุญ) คำให้การชาวกรุงเก่าว่า “นางกุสาวดี”) ตั้งพระครรภ์ จึงมีพระราชดำริกีดกันให้ไกลห่างจากราชบัลลังก์ พระราชพงศาวดารฯฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) ให้เหตุผลว่า เพราะพระองค์ทรงละอายพระทัยที่ทรงเสพสังวาสกับนางลาว คำให้การชาวกรุงเก่าว่า พระองค์ทรงเกรงว่าพระโอรสองค์นี้จะคิดขบถชิงราชสมบัติอย่างเมื่อคราวพระศรีศิลป์ แต่คำให้การขุนหลวงหาวัดว่า พระองค์ทรงต้องรักษาราชบัลลังก์ไว้ให้กับพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระอัครมเหสีเท่านั้น”
พระราชพงศาวดารฯ ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) จดพระนามเดิมของออกหลวงสุรศักดิ์ไว้ว่า “มะเดื่อ” ส่วนหนังสือปฐมวงศ์ ฉบับ ก.ศ.ร.กุหลาบ เรียกว่า “ดอกเดื่อ” เนื่องจากพระองค์ประสูติใต้ต้นมะเดื่อในแขวงเมืองพิจิต ขณะพระมารดาติดตามออกพระเพทราชาบิดาบุญธรรมโดยเสด็จสมเด็จพระรามาธิบดี พระองค์ที่ ๖ (สมเด็จพระนารายณ์) เสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์ยังเมืองพิษณุโลก
ภาพจาก mello.me
เรื่องออกหลวงสุรศักดิ์เป็น “โอรสลับ” ของสมเด็จพระรามาธิบดี พระองค์ที่ ๖ (สมเด็จพระนารายณ์) เป็นที่รับรู้กันในหมู่ข้าราชสำนัก เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดี พระองค์ที่ ๖ (สมเด็จพระนารายณ์) เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๒๓๑ เหล่าขุนนางต่างเห็นสมควรยกออกหลวงสุรศักดิ์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบแทนพระราชบิดา แต่พระองค์ทรงปฏิเสธยอมรับราชสมบัติ แล้วจึงอัญเชิญออกพระเพทราชาบิดาบุญธรรมขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินศรีอยุทธยาพระองค์ใหม่ คำให้การชาวกรุงเก่าเล่าว่า
เมื่อพระนารายน์เสด็จสวรรคตแล้ว ขุนนางข้าราชการทั้งปวงเห็นว่า พระนารายน์ไม่มีพระราชโอรสที่จะสืบราชตระกูล จึงปฤกษากันว่า ควรจะยกราชสมบัติให้กับใคร พวกที่รู้ประวัติเจ้าพระยาสีห์สูจักรจึงพูดขึ้นว่า พระราชโอรสของพระนารายน์มีอยู่ คือเจ้าพระยาสีห์สูจักรบุตรนางกุสาวดี ที่พระราชทานไปแก่เจ้าพระยาสุรสีห์ ด้วยพระนารายน์ได้ตั้งสัตย์ไว้ว่าจะไม่เลี้ยงโอรสที่เกีดแต่นางนักสนม ครั้นนางกุสาวดีมีครรภ์ขึ้นจึงแกล้งยักย้ายถ่ายเทไปเสีย เพราะฉนั้นควรจะยกสมบัติให้แก่เจ้าพระยาสีห์สูจักร เมื่อปฤกษาพร้อมกันดังนี้แล้ว จึงเชีญเจ้าพระยาสีห์สูจักรให้ขึ้นครองราชสมบัติ เจ้าพระยาสีห์สูจักรไม่รับ ว่าบิดาของเรายังมีอยู่ ท่านทั้งปวงจงเชีญบิดาของเราขึ้นครองราชสมบัติเถีด ขุนนางข้าราชการทั้งปวงก็เชีญเจ้าพระยาสุรสีห์ขึ้นครองราชสมบัติ เจ้าพระยาสุรสีห์มีพระนามเปน ๒ อย่างๆ ๑ ว่า สมเด็จพระฐาธาธิบดี [สมเด็จพระธาดาธิบดี – ผู้เขียน] พระนาม ๑ ว่า พระราเมศวร…
แลพระราเมศวรนั้นไม่ใคร่พอพระไทยในทางยศศักดิ์ แม้จะเสด็จประพาศที่ใดๆ ก็ไม่มีขบวนแห่แหน ให้แต่คนใกล้ชิดตามเสด็จเล็กน้อยเท่านั้น พอพระไทยแต่ที่จะบำรุงไพร่บ้านพลเมืองให้อยู่เย็นเปนศุขอย่างเดียว จึงทรงตั้งเจ้าพระยาสีห์สูจักรเปนพระมหาอุปราช สำหรับดูแลกิจการบ้านเมืองต่างพระองค์ ในเวลานั้นพระมหาอุปราชถืออาญาสิทธิสำเร็จราชการบ้านเมืองต่างพระองค์พระราเมศวรทั้งสิ้น…”
ครั้นสมเด็จพระรามาธิบดี พระองค์ที่ ๗ เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๒๔๖ พระญาสุรศักดิ์เจ้าวังหน้าจึงเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติสืบแทน ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระสุรศักดิ์๘ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระจักรพรรดิพงษ์เจ้ากรม (จาด) บันทึกได้ถึงเรื่องที่สมเด็จพระสุรศักดิ์ตรัสเล่าภูมิสถานที่ประสูติของพระองค์ว่า
ภาพจาก www.facebook.com/lakorn_online
“ลุศักราช ๑๐๖๗ ปีระกาสัปตศก พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไป ณ เมืองพระพิษณุโลก ถึงที่ประทับโพทับช้าง มีพระโองการตรัสว่า สมเด็จพระนารายเป็นเจ้าเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปตีเมืองล้านช้าง สมเด็จพระมารดาทรงพระครรภ์แก่ เสด็จขึ้นมาส่ง ตั้งจวนใต้ต้นมะเดื่อประสูติกู จึงให้สถาปนาพระวิหาร พระอุโบสถ พระสถูปที่จวนนั้น เสด็จขึ้นไปเมืองพระพิศณุโลกประทับแรมอยู่ ๗ เวร เสด็จกลับลงมาพระนคร ฯ”